19:06 Monday, July 19 รถใหม่วันนี้ รถทั้งเว็บ 17, 664 ผู้ชมใน 24ชม. Online
ค่าลดหย่อนสำหรับการบริจาค - เงินบริจาคเพื่อการศึกษา การกีฬา พัฒนาสังคม และโรงพยาบาลรัฐ จะได้สิทธิ์หักลดหย่อน 2 เท่าของเงินบริจาคแต่จะไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าลดหย่อน - เงินบริจาคทั่วไป ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าลดหย่อน - เงินบริจาคแก่พรรคการเมือง ลดหย่อนได้ตามจำนวนที่บริจาคแต่ไม่เกิน 10, 000 บาท และ 6.
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้นเป็นวิธีการที่แนะนำทั้งการอดออมเพื่ออนาคตและการลดหย่อนภาษีเลยทีเดียว เพราะเงินส่วนนี้จะได้เมื่อเราถึงวัยเกษียณ ยิ่งเราสะสมมมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีเงินเก็บในวัยเกษียณมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งเราก็สามารถสะสมได้ตั้งแต่ 2 -15%ของรายได้ เลยทีเดียว และเมื่อเราสะสมเงินไว้ในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนั้นเราก็สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้มากที่สุดถึง 500, 000 บาทต่อปี* เชียวนะ โอ้! ไม่ใช่น้อยๆ เลยใช่ไหมล่ะ เผลอๆ อาจจะมากเกินพอจนไม่ต้องจ่ายภาษีเลยนะเนี่ย 3. กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ก็คล้ายๆกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเช่นกัน เราอาจจะเลือกออมเพียงอันใดอันหนึ่งก็ได้ หรืออาจจะออมทั้ง 2 กองทุนเลยก็ได้เช่นกัน โดยที่เราสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ 15%ของรายได้ และลดได้มากที่สุดถึง 500, 000 บาทต่อปีเลยทีเดียว* ให้ผลตอบแทนดีแบบนี้ต้องมาเข้าร่วมกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพซะแล้ว 4. กองทุนระยะยาว(LTF) มีกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) แล้วจะไม่มีกองทุนระยะยาว (LTF) ได้อย่างไร ซึ่งเราสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ 15%ของรายได้ และลดได้มากที่สุดถึง 500, 000 บาทต่อปี* เช่นเดียวกันกับกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) นั่นเอง แต่การทุนแบบนี้ก็มักจะได้ผลตอบแทนสูงเหมือนกันนะ ใครที่อยากจะเข้าร่วมกองทุนระยะยาว ก็ลองศึกษาข้อมูลกันดูละกันเนอะ 5.
ค่าจ้างงานลูกจ้างสูงอายุ สามารถลดหย่อนภาษีได้ ตามมาตรการของกรมสรรพากรเพื่อส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุ โดยให้ยกเว้นภาษีเงินได้เป็นจำนวนร้อยละหนึ่งร้อยให้แก่บริษัทนิติบุคคล มีเงื่อนไขดังนี้ พนักงานจะต้องอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป เป็นลูกจ้างอยู่ก่อนแล้ว หรือขึ้นทะเบียนกับกรมการจัดหางาน ค่าจ้างพนักงานคนชราจะต้องไม่เกิน 15, 000 บาท ต่อเดือน จ้างได้ไม่เกิน 10% ของลูกจ้างทั้งหมด ไม่เคยเป็นกรรมการฯบริษัท หรือบริษัทในเครือมาก่อน 6.
โปรแกรมคอมพิวเตอร์ลดหย่อนภาษีได้ เพื่อเพิ่มศักยภาพในด้านการแข่งขัน ส่งเสริมให้มีการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจ อีกหนึ่งนโยบายของกรมสรรพากรที่ออกมาสนับสนุน SMEs เกี่ยวกับการลดหย่อนภาษี สำหรับผู้ประกอบการ SMEs เมื่อซื้อหรือใช้บริการโปรแกรมคอมพิวเตอร์จากนักพัฒนาหรือผู้ประกอบการซอฟต์แวร์ที่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลหรือ DEPA สามารถนำมาคิดเป็นรายจ่ายเพื่อหักภาษีได้ 1 เท่าของรายจ่ายตามจำนวนที่ได้จ่ายไปจริง โดยภาษีที่หักต้องอยู่ในหลักเกณฑ์เงื่อนไขที่กรมสรรพากรกำหนดในวงเงินไม่เกิน 100, 000 บาทในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี ที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 ม. ค. 2560 แต่ไม่เกินวันที่ 31 ธ. 2562 3.
/กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง โดยมีจำนวนสูงสุดไม่เกิน 500, 000 บาท ซึ่งสามารถสะสมเพิ่มได้โดยขอเปลี่ยน% ที่กำหนดกับนายจ้าง - เงินประกันสังคม สามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีตามที่จ่ายจริง แต่สูงสุดไม่เกิน 9, 000 บาท - กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช. ) ตามที่จ่ายจริงแต่สูงสุดไม่เกินจำนวน 13, 200 บาท อย่างไรก็ตาม กลุ่มค่าลดหย่อน ประกันชีวิตและการลงทุน จะมีเงื่อนไข คือ ยอดรวมของ RMF + กบข. /กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ/กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน + กองทุนการออมแห่งชาติ + ประกันชีวิตแบบบำนาญ เมื่อรวมกันทั้งหมดแล้วต้องไม่เกิน 500, 000 บาท 3. ค่าลดหย่อนกลุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจ ในกลุ่มนี้มีรายการค่าลดหย่อนภาษีใหม่ๆที่เพิ่งประกาศในปีนี้ ได้แก่ - ดอกเบี้ยกู้ยืมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย ตามที่จ่ายจริงสูงสุดไม่เกินจำนวน 100, 000 บาท โดยสามารถหักได้ตามที่จ่ายไปจริง และในกรณีที่เป็นการกู้ร่วมกันหลายคน ให้แบ่งดอกเบี้ยคนละเท่าๆกัน แต่รวมกันแล้วต้องไม่เกิน 100, 000 บาท ซึ่งการใช้สิทธิสำหรับกรณีนี้จะบ้านกี่หลังก็ได้ แต่สูงสุดรวมกันแล้วจำนวนเงินจะต้องไม่เกิน 100, 000 บาท - ค่าธรรมเนียมจากการรับชำระเงินด้วยบัตรเดบิต เป็นสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้เพิ่มสำหรับกรณีคนทำธุรกิจที่มีการจ่ายค่าธรรมเนียมในการรับชำระเงินด้วยบัตรเครดิต ตั้งแต่ช่วง 1 พ.